วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตัวอย่างการนำวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือไปใช้กับระบบการศึกษาทางไกล


            การนำวิธีการจัดการรียนการสอนแบบร่วมมือไปประยุกต์ใช้กับระบบการศึกษาทางไกลนั้นทำได้หลากหลายวิธี ตัวอย่างเช่น



รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเชิงปฎิบัติบน e-Learning         จากการศึกษาถึงรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือในแบบที่ใช้ในห้องเรียนปกติข้างต้น เมื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนรู้บน e- Learning จะมีลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ดังตัวอย่างรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 4 รูปแบบ ดังนี้
1
การสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่ม (Group Investigations)

รูปแบบการสอนแบบสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่ม ได้เน้นการสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกัน
เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การสอนแบบสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่มซึ่งมีลักษณะ เป็นโครงสร้างการเรียนรู้ที่เน้นความสำคัญของทักษะการคิดระดับสูง เช่นการวิเคราะห์และการประเมินผล ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยใช้การสืบค้นแบบร่วมมือกันเพื่อการอภิปรายเป็นกลุ่ม รวมทั้งวางแผนเพื่อผลิตโครงการของกลุ่ม
เมื่อนำการเรียนการสอนแบบสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่มมาประยุกต์ใช้กับ e – learning มีลักษณะการเรียนรู้ ดังนี้
          1.
ผู้เรียนร่วมกันเสนอหัวข้อหรือประเด็นที่ต้องการศึกษา ค้นคว้าจากสิ่งที่ได้เรียนไปผ่านทาง
Web board เพื่อให้ผู้สอนได้รับทราบเพื่อนำมาดำเนินการจัดเป็นหัวข้อหรือประเด็นการศึกษาต่อไป
          2. เมื่อผู้สอนได้จัดหัวข้อหรือประเด็นการศึกษาในกระดานข่าวแล้ว เมื่อผู้เรียนเข้าไปอ่าน
แล้วจะมีการแบ่งกลุ่มกันเอง โดยผู้เรียนจะเลือกเข้ากลุ่มตามหัวข้อที่ตนเองต้องการศึกษา ซึ่งมีสมาชิกกลุ่มประมาณ 4- 6 คน จำนวนสมาชิกในกลุ่มของแต่ละหัวข้ออาจมีจำนวนไม่เท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของหัวข้อที่จะศึกษา แต่ละกลุ่มควรมีผู้เรียนที่มีความสามารถหลากหลายคละกันไป
          3. เมื่อผู้สอนได้จัดหัวข้อหรือประเด็นการศึกษาในกระดานข่าวแล้ว เมื่อผู้เรียนเข้าไปอ่าน
แล้วจะมีการแบ่งกลุ่มกันเอง โดยผู้เรียนจะเลือกเข้ากลุ่มตามหัวข้อที่ตนเองต้องการศึกษา ซึ่งมีสมาชิกกลุ่มประมาณ 4- 6 คน จำนวนสมาชิกในกลุ่มของแต่ละหัวข้ออาจมีจำนวนไม่เท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของหัวข้อที่จะศึกษา แต่ละกลุ่มควรมีผู้เรียนที่มีความสามารถหลากหลายคละกันไป
          4. ผู้สอนจะแนะนำวิธีทำงานกลุ่ม การสืบค้น การรวบรวมข้อมูลความรู้ในแต่ละหัวข้อโดย
ชี้แจงไว้ในส่วนรายละเอียด/คำชี้แจงของแต่ละหัวข้อหรือประเด็นการศึกษารายตามละเอียดของWebcourse
          5. มีการกำหนดไว้ในหน้า “ข้อตกลงทางการเรียน” ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนการ
ศึกษาในหัวข้อของตน และแบ่งงานกันตามที่ได้วางแผนไว้ โดยสมาชิกแต่ละคน หรือสมาชิกแต่ละคู่ในกลุ่มจะเลือกหัวข้อย่อย (Subtopic) และเลือกวิธีแสวงหาคำตอบในเรื่องนั้นๆด้วยตนเอง หลังจากนั้นสมาชิกแต่ละคนหรือแต่ละคู่ จะเสนอรายงานความก้าวหน้าและผลการทำงานให้กลุ่มทราบ โดยผ่านทาง Web board หรือ Chat ซึ่งสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการนำเสนอผลงาน
         6. การประเมินผลงาน/การทำงาน และร่วมอภิปรายออนไลน์ผ่านการ Chat เกี่ยวกับรายงานของสมาชิกแต่ละคนหรือสมาชิกแต่ละคู่ ในกลุ่มที่ได้เลือกหัวข้อย่อยไปศึกษาและรวบรวมจัดทำรายงานของกลุ่ม จากนั้นนำเสนอให้เพื่อนทั้งชั้นเรียนฟัง โดยการนำเสนอในลักษณะการUpload File ไว้ในเว็บไซต์ให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนได้ศึกษา ทั้งนี้จะต้องส่งข้อมูลที่จะนำเสนอให้กับผู้สอนได้พิจารณาก่อน และผู้สอนจะเป็นผู้ Upload File ไว้ให้ผู้เรียนทั้งชั้นได้ศึกษา

2 การเรียนการสอนแบบกลุ่มแข่งขันแบบแบ่งตามผลสัมฤทธิ์ (Student Teams – Achievement Divisions หรือ STAD)

การเรียนการสอนตามรูปแบบ STAD เป็นรูปแบบหนึ่งของการเรียนแบบร่วมมือ ที่ใช้ร่วมกับ
กิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบอื่นๆ หรือหลังจากที่ครูได้สอนผู้เรียนทั้งชั้นไปแล้ว และต้องการให้ ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า ร่วมกันภายในกลุ่มสืบเนื่องจากสิ่งที่ครูได้สอนไป ซึ่งใช้ได้กับทุกวิชา ที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เป็นข้อเฑ็จจริง เกิดความคิดรวบยอด ค้นหาสิ่งที่มีคำตอบ ชัดเจน แน่นอน
          
              เมื่อนำการเรียนการสอนแบบกลุ่มแข่งขันแบบแบ่งตามผลสัมฤทธิ์ มาประยุกต์ใช้กับ
e – learning มีลักษณะการเรียนรู้ ดังนี้

           1. ผู้สอนใช้ webpage ก่อนเรียนอธิบายงานที่ต้องทำในกลุ่ม ลักษณะการเรียนภายในกลุ่ม
กฎ กติกา ข้อตกลงในการทำงานกลุ่ม ได้ประกอบด้วย

- การกำหนดให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการช่วยเหลือกันและกัน เพื่อให้เพื่อนทุกคนเกิด
การเรียนรู้ไปด้วยกัน
- สมาชิกของกลุ่มต้องทำงานของตนเองให้เสร็จสมบูรณ์เพื่องานกลุ่มเสร็จสมบูรณ์ด้วย
กล่าวคือ การที่สมาชิกทุกคนทำงานทีได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นและเข้าใจในงาน ที่ทำอย่างชัดเจน
- การปรึกษาหรือถามปัญหาให้กระทำในกลุ่มเพื่อนก่อนที่จะถามครู
- หลังทำงานเสร็จนั่นคือทุกคนในกลุ่มพร้อมได้รับการทดสอบ หรือการประเมินจากครู
           2. ผู้สอนเป็นผู้กำหนดกลุ่ม โดยผู้เรียนจะได้รับมอบหมายให้อยู่ในกลุ่มคละเพศ คละความ
สามารถ ในกลุ่มหนึ่งจะมีสมาชิกจำนวน 4 – 5 คน หรือขึ้นอยู่กับจำนวนหัวข้อที่ให้ผู้เรียนได้ศึกษา ซึ่งผู้สอนจะพิจารณาจากประวัติ และข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนจากการลงทะเบียนเข้าศึกษาในหลักสูตร e- Learning
            3. กำหนดระยะเวลาเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเนื้อหาในบทเรียนออนไลน์ และหลังจากที่ผู้เรียน
ได้ศึกษาเนื้อหาตามบทเรียนออนไลน์แล้ว มีการมอบหมายใบงาน/แบบฝึกหัด ให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยกันในกลุ่มของตนเอง และผู้เรียนต้องพยายามที่จะช่วยเหลือให้สมาชิกทุกคนเข้าใจในเนื้อหาทั้งหมด และร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบตามใบงาน/แบบฝึกหัดที่ผู้เรียนแต่ละคน ได้คิดคำตอบขึ้นมา และอภิปรายออนไลน์ร่วมกันเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ทั้งนี้โดยใช้ Web board และ Chat เป็นสื่อกลางในการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับสมาชิกกลุ่ม
            4. มีการประเมินในสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนไป โดยทดสอบคะแนนเป็นรายบุคคล และนำคะแนน
ของแต่ละคนในกลุ่มมารวมเป็นคะแนนของกลุ่มและหาค่าเฉลี่ย กลุ่มที่มีคะแนนถึงเกณฑ์ที่กำหนดจะได้รับรางวัล (Rewards) หรือมีการประกาศผลในที่สาธารณะ เช่น เว็บไซต์ของโรงเรียน บอร์ดของ โรงเรียน หรือวารสารของโรงเรียน



                                                 picture from; http://miguelbengoa.com/elt/?p=45


3 เทคนิคการต่อบทเรียน (Jigsaw)

เทคนิคการต่อบทเรียน บางทีเรียกว่า การเรียนแบบต่อชิ้นส่วน หรือการศึกษาเฉพาะส่วน

เมื่อนำเทคนิคการต่อบทเรียนมาประยุกต์ใช้กับ e – learning มีลักษณะการเรียนรู้ ดังนี้

               1. เป็นวิธีการที่ผู้สอนแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม คละตามความสามารถและเพศ
               2. ทุกกลุ่มจะได้รับมอบหมายให้ทำกิจกรรมเดียวกัน โดยผู้สอนกำหนดให้เนื้อหา 1 เรื่อง
สำหรับ 1 กลุ่ม และแบ่งเนื้อหาออกเป็นหัวข้อย่อยเท่าจำนวนสมาชิกในแต่ละกลุ่ม เพื่อให้แต่ละคนในกลุ่มศึกษาเฉพาะในหัวข้อนั้นๆ คนละ 1 หัวข้อ โดยผู้เรียนแต่ละคนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่ตนเองได้รับมอบหมาย สมาชิกที่อยู่ต่างกลุ่มที่ได้รับมอบหมายในหัวข้อเดียวกันจะร่วมกันศึกษา เรียกว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) จากนั้นนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ในหัวข้อของตนเองไปเสนอแก่สมาชิกในกลุ่ม เพื่อให้เพื่อนในกลุ่มได้รู้เนื้อหาครบทุกหัวข้อ โดยมีลักษณะการนำเสนอแก่เพื่อนด้วยการแนบไฟล์ส่งไปยัง e - mail ของเพื่อนในกลุ่ม
                3. หลังจากจบบทเรียนแล้วมีการทดสอบรายบุคคลตามเนื้อหาทุกหัวข้อ และนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม ซึ่งในกรณีนี้จะมีการดำเนินการบริหารการสอบ โดยจัดเป็นห้องสอบไว้โดยเฉพาะ มีผู้ดำเนินการจัดสอบ และให้ผู้เรียนทำข้อสอบออนไลน์ และจัดส่งไฟล์ข้อสอบไปยังผู้สอนโดยตรง ภายในระยะเวลาการสอบที่ได้กำหนดไว้

                                            picture from : http://sornordon.wordpress.com


4 การเรียนการสอนกลุ่มเพื่อนช่วยเหลือเพื่อนเป็นรายบุคคล (Team Assisted Individualization หรือ TAI)

การเรียนการสอนตามรูปแบบ การเรียนการสอนกลุ่มเพื่อนช่วยเหลือเพื่อนเป็นรายบุคคล
เป็นการเรียนการสอนที่ผสมผสานระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ และการเรียนการสอนรายบุคคลเข้าด้วยกัน โดยให้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียนด้วยตนเอง ตามความสามารถจากแบบฝึกทักษะ และส่งเสริมความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้ ตลอดจนการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

           เมื่อนำการเรียนการสอนกลุ่มเพื่อนช่วยเหลือเพื่อนเป็นรายบุคคล มาประยุกต์ใช้กับ e – learning มีลักษณะการเรียนรู้ ดังนี้

          1. การทดสอบความรู้พื้นฐานของผู้เรียนก่อนเรียน โดยทำการทดสอบแบบออนไลน์บน
Webpage แรกๆ
            2. ผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียน โดยกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกันทำงานร่วมกัน โดยแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆละ 4 – 5 คน
           3. ผู้สอนมอบหมายงานให้ผู้เรียนศึกษาร่วมกันเป็นคู่ๆ จะเน้นการฝึกปฏิบัติ โดยให้ผู้เรียนต่าง
ศึกษาเอกสารของผู้สอน ตามสิ่งที่ระบุในการมอบหมายใบงาน ที่ได้แจ้งไว้บนกระดานข่าว แล้วฝึกหัดทำตาม ในเวลาเรียนผู้เรียนต้องมีความร่วมมือกัน ผู้เรียนที่เก่งจะต้องช่วยเหลือเพื่อนที่อ่อน ต่างตรวจสอบงานของกันและกัน เมื่อทำเสร็จแล้ว ให้ทำกิจกรรมอื่นๆต่อ จนครบทุกกิจกรรมหรือหัวข้อที่ผู้สอนกำหนดไว้ และรวมตัวทำงานกลุ่มร่วมกันที่เป็นการสังเคราะห์ความรู้ทั้งหมด จากการที่ผู้เรียนได้ร่วมกันฝึกปฏิบัติกันในคู่ของตนมาก่อนแล้วนั่นเอง
            4. ระหว่างที่ผู้เรียนช่วยกันเรียนกับคู่ของตนและกับสมาชิกอื่นๆในกลุ่ม ผู้สอนจะใช้เวลานี้นัด
หมายเวลาให้ ผู้เรียนจากกลุ่มต่างๆที่มีความสามารถระดับใกล้เคียงกันมาครั้งละ 4- 6 คน เพื่อให้ความรู้เสริม ให้เหมาะกับระดับความสามารถของผู้เรียน โดยให้ความรู้เสริมผ่านการ Chat
            5. หลังจากที่ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ได้เรียนร่วมกับเพื่อน ผ่านทุกจุดประสงค์หรือทุก กิจกรรมร่วมกันทุกคน และได้เรียนจากครูเป็นกลุ่มย่อยโดยผ่านการ Chat แล้ว เมื่อจบหน่วยการเรียน ครูจะมีการประเมินผลสิ่งที่ผู้เรียนได้เรียนไปทั้งหมด โดยการทดสอบรายบุคคล ซึ่งในกรณีนี้จะมีการดำเนินการบริหารการสอบ โดยจัดเป็นห้องสอบไว้โดยเฉพาะ มีผู้ดำเนินการจัดสอบ และให้ผู้เรียนทำ ข้อสอบออนไลน์ และจัดส่งไฟล์ข้อสอบไปยังผู้สอนโดยตรง ภายในระยะเวลาการสอบที่ได้กำหนดไว้
และนำคะแนนการทดสอบของนักเรียนแต่ละคนมาเฉลี่ยเป็นคะแนนของกลุ่มต่อไป

                                                      picture from: www.thaitablet.net 

 การประยุกต์ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือบน e – Learning

         การประยุกต์ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนแบบ e – Learning
นั้น เพื่อให้กระบวนการเรียนการสอนได้ส่งผลต่อการเพิ่มทักษะการทำงานแบบร่วมมือ และทักษะทางสังคมของผู้เรียน รูปแบบที่เหมาะสมในกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือบน e – learning จึงควรจะเป็นในลักษณะการแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก คละความสามารถ โดยผู้สอนพิจารณาจากข้อมูลที่สมัครเข้าสู่ระบบ ซึ่งได้ระบุรายละเอียดข้อมูลพื้นฐาน ส่วนบุคคล ตลอดจนความสามารถพิเศษของผู้เรียนที่เข้า สู่การเรียนการสอนในระบบออนไลน์ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือเพื่อนช่วยเหลือเพื่อนเป็นกลุ่ม ผู้สอนมีการมอบหมายงานให้ผู้เรียนในลักษณะใบงาน โดยสมาชิกทุกคนในกลุ่มต่างร่วมมือกันรับผิดชอบทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ โดยตั้งเป้าหมายร่วม ที่มุ่งสู่ความสำเร็จของกลุ่ม และวางแผนการทำงานซึ่งมาจากความคิดเห็นที่ตรงกันของสมาชิกกลุ่มทุกคน สมาชิกแต่ละคนมีการ ช่วยเหลือกันให้ทุกคนได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกัน ซึ่งนักเรียนที่เก่งจะต้องช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนที่อ่อน ต่างตรวจสอบงานของกันและกัน
           นอกจากนี้แล้ว ผู้สอนยังมีบทบาทเป็น Moderator ที่จะคอยกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการแสดงความคิดเห็น ให้ข้อเสนอแนะ สะท้อนคิดและอภิปราย ในระหว่างดำเนินกิจกรรมกลุ่มออนไลน์แบบมีปฏิสัมพันธ์ทั้งแบบประสานเวลาและแบบไม่ประสานเวลา โดยใช้เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คุ้นเคยวิธีการใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ ความคาดหวังใหม่ๆ โดยเครื่องมือเกี่ยวกับความร่วมมือในปัจจุบัน เช่น e – mail , เครือข่ายคอมพิวเตอร์ , White boards , Bulletin Board System , Chat Lines
            สรุปได้ว่า กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือบน e – Learning นั้น ได้ให้ความสำคัญกับการ สื่อสาร การสนทนา และการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียน ดังเช่น Curtis J. Bonk (2002) ที่ได้กล่าวว่า แนวโน้มของการเรียนรู้วิธีใหม่ คือ อาศัยการสื่อสาร และการสนทนาเป็นหลัก อย่างเช่น Peter Drucker ได้กล่าวไว้ว่า “เราต้องการคนทำงานที่มีความรู้ ซึ่งมีทักษะในการแก้ปัญหา มีความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถเรียนรู้ได้ เพราะฉะนั้น การศึกษาต้องเตรียมคนทำงานได้เรียนรู้ทักษะเหล่านี้”

ตัวอย่างกรณีศึกษาในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือบน e-Learning
กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ ได้มีหลายสถาบันการศึกษา และองค์กรต่างๆได้นำไปใช้แพร่หลาย ใน รูปแบบของ e-Learning ดังนี้

The Infoshare Module

Tales.L and Rylands.J(1998) ได้นำเสนอ The Infoshare Module เป็นการใช้การฝึกอบรมแบบร่วมมือแบบไม่ประสานเวลาในการปรับปรุงทักษะการสืบค้นจากเว็บ The Infoshare on the Web นั้นเป็นการออกแบบเพื่อใช้อบรมผู้เข้าร่วมในโครงการว่าจะใช้และ/หรือปรับปรุงการใช้ Web Search Engines เพื่อเข้าถึงสารสนเทศบนเว็บได้อย่างไร ผู้เข้าร่วมในโครงการได้ร่วมมือในกลุ่มที่มีภาระงานที่สมบูรณ์ และใช้การติดต่อสื่อสารแบบไม่ประสานเวลาที่ถูกจัดเตรียมโดย Simon Fraser,s Virtual University , Web – Based Environment ได้มีการสนับสนุนการศึกษาทางไกล การแบ่งปันข้อมูลสารสนเทศ และการฝึกอบรม
หน่วยการเรียน (Module) ได้ถูกส่งผ่านไปยังผู้เข้าร่วมการฝึกอบรม เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์และผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมนั้นได้ค้นพบประโยชน์และข้อจำกัดในการใช้สิ่งแวดล้อมการมีปฏิสัมพันธ์แบบไม่ประสานเวลาสำหรับการฝึกอบรม
Online Asynchronous Training ได้อนุญาตให้ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศและการมีพันธะผูกพันธ์กับภาระงานความร่วมมือ และการดำเนินการอภิปรายต่อในเวลาที่เหมาะสมตามตารางเวลาของพวกเขาทั้งหลาย การเรียนรู้แบบร่วมมือให้ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมได้มี มุมมองที่หลากหลายในประเด็นต่างๆ เช่น พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา เช่นการที่เขาทั้งหลายได้เรียนรู้จากภาระงาน ห้องเรียนแบบออนไลน์เป็นการใช้พื้นที่ในการเสนอหลักสูตรที่มีหน่วยกิต และการแบ่งปันความช่วยเหลือด้านความรู้ต่อกันและกัน ซึ่งในเวลาอันใกล้นี้ สิ่งแวดล้อมออนไลน์จะกลายเป็นข้อกำหนดเฉพาะเพื่อการฝึกอบรมแบบร่วมมือ
The Infoshare Module ได้ถูกเสนอในระหว่างกลางเดือนกันยายน – กลางเดือนตุลาคม ค.ศ.1996 โดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมที่มีความกระตือรือร้น 24 คน ซึ่งเป็นสมาชิกของ National Research Council’s Industrial Research Assistance Program ใน British Columbia โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใน Lower Mainland มีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่อื่น ใน British Columbia , The Yukon และ Ontario
ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมได้ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 12 คน ซึ่งThe Infoshare Module ได้รวมประเด็นและภาระงานในแต่ละสัปดาห์ มีการแนะนำในช่วงการเผชิญหน้า (The Introductory Face to Face Session) ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมมีการฝึกอบรมใน Virtual University และจัดหาด้วยวัสดุอุปกรณ์ตามหลักสูตรและความต้องการของหน่วยการเรียน มีการดำเนินการตาม 3 Sessions ที่รวมการออนไลน์และ มุ่งเน้นในการแนะนำผู้เข้าร่วมโครงการให้รู้จัก Web Search Engines และให้เขาได้ขยาย Web Resource List , Containing Sites ที่ตรงประเด็นกับสิทธิที่จะได้รับ ,ความมั่งคั่งทางสติปัญญา , การตลาด และการ วางแผนด้านการเงินสำหรับความต้องการเชิงวิชาชีพ




รายการอ้างอิง


สุภณิดา ปุสุรินทร์คำ.(2549). การพัฒนารูปแบบการแบ่งปันความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วยวิธีการเรียนแบบร่วมมือเพื่อพัฒนาความเป็นชุมชนนักปฏิบัติของครูในโรงเรียนที่เข้าร่วมในโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งโรงเรียนในฝันของกรุงเทพมหานคร.วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
(หน้า 79-81: ความหมายและองค์ประกอบของการเรียนแบบร่วมมือ)

สุภณิดา ปุสุรินทร์คำ.(2552)"ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือบน e-Learning"ในเอกสารคำสอนรายวิชา02-051-522 เทคโนโลยีการเรียนรู้ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์.นครราชสีมา: สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประยุกต์.คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน.










วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การประยุกต์การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเข้ากับการศึกษาด้วยระบบทางไกล



จากการบทความก่อนหน้านี้ในเรื่องการจัดการเรียนรู้แบบรวมมือนั้น เห็นว่าวิธีการจัดการเรียนรู้
          ในลักษณะนี้ถ้าเรามองตามความเป็นจริง การศึกษาในระบบทางไกลในรูปแบบต่างๆก็ใช้วิธีการสอนในลักษณะนี้แบบกลายๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ชี้ฉเพราะไปเลยก็ตาม แต่ก็มีการนำรูปแบบการสอนแบบร่วมมือไปใช้เกือบจะในทุกกิจกรรมของการศึกษาในระบบทางไกล ถึงแม่ว่าจะขัดกับหลักการของระบบการศึกษาทางไกลที่ว่าผู้เรียนผู้สอนไม่อยู่ประจันหน้ากัน เนื่องจากผู้เรียนไม่สามารถมาเข้าชั้นเรียน โดยปกติได้ดังนั้น ผู้เรียนจะเรียนด้วยตนเองที่บ้าน โดยอาจมาพบผู้สอนในบางเวลา เน้นผู้เรียนเป็นจุดศูนย์กลางของการเรียน ผู้เรียนเป็นผู้เลือกวิชาและกำหนดเวลาเรียนและกิจกรรมการเรียนของตนเอง  สื่อการสอนเป็นสื่อหลักในกระบวนการเรียนการสอน ผู้สอนจะเป็นสื่อหลัก ในการศึกษาทางไกลสื่อหลักจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียง ฯลฯ เป็นสื่อหลัก แต่ในสถานการจริงนั้นมีการนำวิธีการเรียนการสอนแบบร่วมมือไปใช้ ไม่จากฝ่ายผู้สอนก็จากตัวผู้เรียนเอง ตัวอย่างเช่น การจัดตั้งกลุ่มเพื่อทำรายการ ทำการร่วมกันศึกษาค้นคว้า การช่วยกันทบทวนบทเรียน เป็นต้น


                "นอกจากชุดการสอน การสอนแบบโปรแกรม และการศึกษาทางไกลแล้ว ยังมีนวัตกรรม อีกมากมายที่นำมาใช้ในการศึกษาในระบบทางไกล  อาทิเช่น การสอนเป็นคณะ (Team Teaching) การสอนแบบไม่แบ่งชั้น (Non-graded school) การสอนแบบจุลภาค (Micro teaching) 
คอมพิวเตอร์ทางการศึกษา (Computer in Education) ศูนย์การเรียน (Learning Center) และห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classroom)เป็นต้น นวัตกรรมที่กล่าวถึงมีการนำมาทดลองใช้ในการจัดการศึกษา มีการวิจัยแล้วว่าทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจริง แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านความรู้ในการนำไปใช้ตลอดจนงบประมาณจึงจะทำให้นวัตกรรมดังกล่าวขาดการพัฒนาและหายไปในที่สุด"
                   ดังข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่าวิธีการสอนข้างต้นนั้นมีการเรียนการสอนแบบร่วมมือซ้อนอยุ่ อหนึ่งการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือนั้นสามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่กล่ามข้างต้นได้ด้วยการให้ผู้สอนใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือและใช้นวัตกรรมดังกล่าวเป็นสื่อ ในทุกๆเนื้อหาเท่าที่เป็นไปได้ เมื่อจัดการด้วยวิธีการดังกล่าวแล้ว นวัตกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องการเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องศึกษาจะถูกมองเห็นความสำคัญและถูกนำมาใช้งาน เมื่อผู้เรียนไม่สามารถใช้งานนวัตกรรมนั้นได้ก็จะต้องรวมกลุ่มกันขอคำชี้แนะจากผู้สอน ทำให้ผู้สอนมีการฝึกใช้นวัตกรรมนั้นไปในตัว ดารที่จะสามารถชี้แจงให้ผู้เรียนของตนทราบถึงกลักการใช้นวัตกรรมต่างๆได้นั้น ผู้สอนจำเป็นที่จะต้องมีการศึกษาวิธีการใช้และราละเอียดต่างๆอย่างลึกซึ้งก่อน ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นความรู้ในการนำไปใช้ที่สามารถถ่ายทอดให้กับผู้เรียนได้นั้นเอง จากหลักการดังกล่าวทำให้การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือสามารถแก้ปัญหาข้างต้นได้
    ส่วนวิธีการศึกษาของระบบทางไกลที่ใช้ E-learning หรือ ระบบดาวเทียมนั้น ในส่วนของพื้นที่ที่ไม่มีความสะดวกในเรื่องของสื่อ การเรียนการสอนแบบร่วมมือได้ถูกนำมาใช้เป็นอย่างมาก เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวและเป็นการประหยัดเวลา ประหยัดทรัพยากรได้อีกด้วย  ดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่าการที่เรานำการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือมาใช้กับระบบการศึกษาทางไกลนั้น เราดำเนินการใช้กันมานานแล้วแต่ไม่มีใครเฉลียวใจในจุดนี้ เพราะมัวแต่มุ่งประเด็นไปที่สื่อหรือระบบต่างๆมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรม E-learning คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือแม้แต่ สื่อการเรียนรู้ต่างๆ การที่จะทำให้การศึกษาในระบบทางไกลได้ผลนั้นเราจำเป็นที่จะต้องดูรายละเอียดในทุกๆด้าน รวมทั้งวิธีการจัดการเรียนการสอนด้วย ดังที่เห็นในสภาพความเป็นจริง  การเรียนการสอนแบบร่วมมือไม่ใช่แค่เพียงวิธีการสอนที่ครูใช้สอนให้แก่เด็กนักเรียนเท่านั้น แต่อาจนำไปใช้กับการที่ครูสอนครูด้วยกันเอง การนำไปประยุกต์กับระบบการจัดการในสถานศึกษาด้านต่างๆได้อีกด้วย


  ถึงแม้ว่าการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือเป็นแค่อีกแนวทางหนึ่งที่ผู้เขียนได้หยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อในการแสดงความคิดเห็น หากว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายของสถานศึกษา ไม่มีการผลักดันให้เห็นความสำคัญของการหาวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมแก่สภาพแวดล้อมทางการศึกษา หรือเลือกวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ไม่มีความเหมาะสมคงยากที่จะทำให้การจัดการเรียนการสอนเกิดผลสำเร็จที่มีคุณภาพมีประสิทธิภาพได้ ดังนั้นการที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จได้นั้นจำเป็นที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายร่วมมือกัน จัดหาแนงทางช่วยกันคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหา จึงเป็นหนทางแห่งความสำเร็จของระบบการศึกษาทางไกล 

หนังสืออ้างอิง
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. 2543. เอกสารชุดเทคนิคการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุด การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ. โรงพิมพ์การศาสนา กรมศาสนา.กรุงเทพฯ.   

แหล่งข้อมูล
     เอกสารชุดเทคนิคการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสำคัญที่สุด "การจัดการเรียนรู้แบบร่วมือ" กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ(Cooperative Learning)



การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ(Cooperative Learning)


           หมายถึง กิจกรรมการเรียนการสอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานร่วมกัน โดยในกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งในส่วนตนและส่วนรวม เพื่อให้ตนเองและสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้




องค์ประกอบของการเรียนแบบร่วมมือ


Johnson and Johnson (1994 : 31 - 37) ได้สรุปว่า Cooperative Learning มีองค์ประกอบ ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้



1. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependent) หมายถึงการพึ่งพากันในทางบวก

 แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การพึ่งพากันเชิงผลลัพธ์ คือการพึ่งพากันในด้านการได้รับผลประโยชน์จากความสำเร็จของกลุ่มร่วมกัน ซึ่งความสำเร็จของกลุ่มอาจจะเป็นผลงานหรือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของกลุ่ม ในการสร้างการพึ่งพากันในเชิงผลลัพธ์ได้ดีนั้น ต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนทำงาน โดยมีเป้าหมายร่วมกัน จึงจะเกิดแรงจูงใจให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาซึ่งกันและกัน สามารถร่วมมือกันทำงานให้บรรลุผลสำเร็จได้ และการพึ่งพาในเชิงวิธีการ คือ การพึ่งพากันในด้านกระบวนการทำงานเพื่อให้งานกลุ่มสามารถบรรลุได้ตามเป้าหมาย ซึ่งต้องสร้างสภาพการณ์ให้ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มได้รับรู้ว่าตนเองมีความสำคัญต่อความสำเร็จของกลุ่ม ในการสร้างสภาพการพึ่งพากันในเชิงวิธีการ 



2. การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม (Face to Face Promotive Interdependence) หมายถึง การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนช่วยเหลือกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กัน การอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด การอธิบายให้สมาชิกในกลุ่มได้เกิดการเรียนรู้ การรับฟังเหตุผลของสมาชิกในกลุ่ม การมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่างสมาชิกในกลุ่มได้เกิดการเรียนรู้ การรับฟังเหตุผลของสมาชิกภายในกลุ่ม จะก่อให้เกิดการพัฒนากระบวนการคิดของผู้เรียน เป็นการเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้รู้จักการทำงานร่วมกันทางสังคม จากการช่วยเหลือสนับสนุนกัน การเรียนรู้เหตุผลของกัน
และกัน ทำให้ได้รับข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับ การทำงานของตนเอง จากการตอบสนองทางวาจา และท่าทางของเพื่อนสมาชิกช่วยให้รู้จักเพื่อนสมาชิกได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
3.
ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล (Individual Accountability) หมายถึง ความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละคน โดยต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ ต้องรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเองและเพื่อนสมาชิก ให้ความสำคัญเกี่ยวกับความสามารถและความรู้ที่แต่ ละคนจะได้รับ มีการตรวจสอบเพื่อความแน่ใจว่า ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เป็นรายบุคคลหรือไม่ โดยประเมินผลงานของสมาชิกแต่ละคน ซึ่งรวมกันเป็นผลงานของกลุ่มให้ข้อมูลย้อนกลับทั้งกลุ่มและรายบุคคลให้สมาชิกทุกคนรายงานหรือมีโอกาสแสดงความคิดเห็นโดยทั่วถึง ตรวจสรุปผลการเรียนเป็นรายบุคคลหลังจบบทเรียน เพื่อเป็นการประกันว่าสมาชิกทุกคนในกลุ่มรับผิดชอบทุกอย่างร่วมกับกลุ่ม ทั้งนี้สมาชิกทุกคนในกลุ่มจะต้องมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล
4.
การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interpersonal and Small Group Skills) หมายถึง การมีทักษะทางสังคม (Social Skill) เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข คือ มีความเป็นผู้นำ รู้จักตัดสินใจ สามารถสร้างความไว้วางใจ รู้จักติดต่อสื่อสาร และสามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งในการทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานร่วมกันที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบความสำเร็จ
5.
กระบวนการทำงานของกลุ่ม (Group Processing) หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ของกลุ่ม โดยผู้เรียนจะต้องเรียนรู้จากกลุ่มให้มากที่สุด มีความร่วมมือทั้งด้านความคิด การทำงาน และความ รับผิดชอบร่วมกันจนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ การที่จะช่วยให้การดำเนินงานของกลุ่มเป็นไปได้อย่าง มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายนั้น กลุ่มจะต้องมีหัวหน้าที่ดี สมาชิกดี และกระบวนการทำงานดี นั่นคือ มีการเข้าใจในเป้าหมายการทำงานร่วมกัน
ในกระบวนการนี้สิ่งที่สำคัญ คือ การประเมินทั้งในส่วนที่เป็นวิธีการทำงานของกลุ่ม พฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม และผลงานของกลุ่ม โดยเน้นการประเมินคะแนนของผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มมาเป็นคะแนนกลุ่ม เพื่อตัดสินความสำเร็จของกลุ่มด้วย ประเมินกระบวนการทำงานกลุ่ม ประเมินหัวหน้า และประเมินสมาชิกกลุ่ม ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้เรียนเห็นความสำคัญของกระบวนการกลุ่มที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของกลุ่มได้

Johnson,D.W.,Johnson,R.T., and Holubec.E.J.(1994) ได้สรุปผลลัพธ์เชิงบวกจากการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อผู้เรียนในด้านต่างๆ ดังนี้
. ผู้เรียนมีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น (Greater Effort to Achieve)การเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยให้ผู้เรียนมีความพยายามที่จะเรียนรู้ให้บรรลุเป้าหมาย เป็นผล
ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น และมีผลงานมากขึ้น การเรียนรู้มีความคงทนมากขึ้น (Long – Term Retention) มีแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ มีการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เหตุผลดีขึ้น และคิดอย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น
. ผู้เรียนมีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น (More Positive Relationships among
Students)
การเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยให้ผู้เรียนมีน้ำใจนักกีฬามากขึ้น ใส่ในในผู้อื่นมากขึ้น เห็นคุณ
ค่าของความแตกต่าง ความหลากหลาย การประสานสัมพันธ์และการรวมกลุ่ม
. ผู้เรียนมีสุขภาพจิตดีขึ้น (Greater Psychological Health)การเรียนรู้แบบร่วมมือ ช่วยให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตดีขึ้น มีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเอง
และมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม และความสามารถในการเผชิญกับความวิตกกังวล ความโกรธ ความเครียดและความผันแปรต่างๆด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น
ความกดดัน ความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด ความละอาย และความโกรธของผู้เรียนนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่บั่นทอนศักยภาพในการสร้างความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน ดังนั้นเมื่อผู้เรียนมีสุขภาพจิตที่ดีก็จะเป็นการเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน ที่ต้องการความร่วมมือ การติดต่อสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ภาวะผู้นำ และการจัดการกับข้อขัดแย้ง ตลอดกระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ผลลัพธ์ของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทั้ง 3 ด้านดังกล่าว แสดงในแผนภาพที่ 1 ดังนี้


แผนภาพที่ 1 : แสดงผลลัพธ์จากการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Outcomes of Cooperation)
(Johnson,D.W.,Johnson,R.T., and Holubec.E.J.:1989)
ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง


ผลลัพธ์จากการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อผู้เรียน ดังที่แสดงไว้ในแผนภาพที่ 1 : แสดงผลลัพธ์จากการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Outcomes of Cooperation) ว่าทั้งหมดนั้น มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างกัน ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Acheivement) ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล (Interpersonal Relationships) สุขภาพจิต (Psychological Health)และทักษะทางสังคม (Social Competence) การปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกัน (Promotive Interaction) และ การพึ่งพาอาศัยกันทางบวก (Positiventerdependence) ซึ่งแต่ละส่วนต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน นำพาซึ่งการยอมรับต่อสัมพันธภาพที่มาจากความรู้สึกของความสำเร็จซึ่งกันและกัน ความภูมิใจของทั้งสองฝ่ายในการร่วมกันทำงาน และสายสัมพันธ์ที่แสดงผลลัพธ์จากความพยายามร่วมกัน




รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ



1.คิดและคุยกัน(Think Pairs Share) , เพื่อนเรียน(Partners) , ผลัดกันพูด(Say and Switch)
ทั้ง 3 รูปแบบเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่คล้ายคลึงกัน ให้นักเรียนจับคู่กันในการตอบคำถาม อภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสถานการณ์ หรือทำความเข้าใจเนื้อหาที่เป็นความคิดรวบยอดที่กำหนดให้

2.กิจกรรมโต๊ะกลม(Roundtable หรือ Roundrobin)
เป็นรูปแบบการสอนที่จัดกลุ่มนักเรียนที่มีจำนวนมากกว่า 2 คนขึ้นไป เปิดโอกาสให้นักเรียนทุกคน เขียนความคิดเห็นของตน บอกเล่าประสบการณ์ความรู้ หรือสิ่งที่ตนกำลังศึกษาให้เพื่อนคนที่อยู่ถัดไปโดยเวียนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง สมาชิกทุกคนจะใช้เวลาเท่าๆกันหรือใกล้เคียง



3.คู่ตรวจสอบ(Pairs Check) , มุมสนทนา(Corners) , ร่วมกันคิด(Numbered Heads together)
เป็นรูปแบบการสอนที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ให้ช่วยกันตอบคำถาม แก้โจทย์ปัญหา หรือทำแบบฝึกหัด เมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มย่อยสามารถตอบปัญหา หรือแก้โจทย์ได้แล้ว ให้แลกเปลี่ยนกันตรวจสอบคำตอบ โดยการจับคู่ตรวจสอบ หรือจัดมุมสนทนา

4.การสัมภาษณ์แบบสามขั้นตอน(Three Step Interview)
รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบนี้มี 3 ขั้นตอน โดยครูกำหนดคำถามหรือประเด็นโจทย์ปัญหาให้นักเรียนตอบ มีหลักการดังนี้
 นักเรียนจับคู่กัน คนที่ 1 เป็นผู้สัมภาษณ์โดยถามคำถามให้คนที่ 2 เป็นผู้ตอบ
 นักเรียนสลับบทบาทกัน จากผู้ถามเป็นผู้ตอบ และจากผู้ตอบเป็นผู้ถาม

ตัวอย่างวิธีการสอนแบบร่วมมือ


https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=aAa6zKGOgTQ

https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=PADjOvggGoc

ที่มาอ้างอิงจาก
http://www.budmgt.com/budman/bm01/learner.html